ในโลกนี้มีอะไรเป็นไทแท้?

บทกวีของหม่อมหลวงปิ่น มาลากุลนี้ เราคงจะเคยเห็นกลอนบทนี้ผ่าน ๆ ตามาอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นบนหน้าหนังสือแบบเรียนภาษาไทย หรือตามอินเตอร์เน็ตช่วงสัปดาห์วันภาษาไทยของทุกปี บทกวีดูจะสะท้อนให้เห็นถึงความภาคภูมิใจที่คนไทยมีต่อภาษาของตนเอง ทว่า เราเคยตั้งคำถามบ้างหรือไม่ว่า ภาษาไทยที่เรายึดเอาเป็นเอกลักษณ์ของชาติจนมีบทกวีสรรเสริญจำนวนมหาศาล
เราเติบโตมากับแนวคิดที่ว่าภาษาไทยคือมรดกทางวัฒนธรรมที่บริสุทธิ์ เป็นของชาติ เป็นของคนไทยทุกคน แต่หากลองพิจารณาให้ลึกลงไป เรากลับพบว่าภาษาไทยคือผลผลิตของการเดินทางที่ยาวนาน การยืม การแลกเปลี่ยน และการดัดแปลง
อักษรไทยที่เรายกย่องว่าเป็นประดิษฐกรรมของพ่อขุนรามคำแหง มีรากมาจากอักษรเขมร และอินเดียใต้ “คำไทย” ที่เรียนกันในห้องเรียน กลับปนปะไปด้วยคำจีน บาลี สันสกฤต จนบางทีแยกไม่ออก หรือแม้แต่คำว่า ภาษา หรือ ไทย เอง ก็ไม่ใช่คำไทยแท้แต่กำเนิด
บทความนี้ไม่ได้ต้องการจะลดทอนคุณค่าของภาษาไทย แต่จะชวนคิดชวนมองใหม่ในมิติภาษาศาสตร์ และสำรวจเบื้องหลังรากเหง้าของ “ความเป็นไทย” ที่ต่างไปจากที่เรายึดมั่น
เมื่อพิจารณาว่าอะไรเป็นตัวแทนของวัฒนธรรมไทยได้ดีที่สุด ระบบการเขียนหรือตัวอักษรจะเป็นสิ่งแรก ๆ ที่คนนึกถึง หากถามถึงที่มาของอักษรไทย “พ่อขุนรามคำแหงประดิษฐ์อักษรไทย” มักเป็นคำตอบที่คนไทยให้เสมอ แต่น้อยคนนักจะทราบถึงต้นกำเนิดที่แท้จริง
อักษรขอม อักษร(สุโข)ทัย

อักษรไทยพัฒนามาจากอักษรสุโขทัยซึ่งดัดแปลงโดยมีพื้นฐานมาจากอักษรเขมรโบราณ อักษรสุโขทัยมีการบันทึกครั้งแรกบนศิลาจารึกหลักที่ 1 เมื่อประมาณระหว่างปีพ.ศ. 1826 ถึงปีพ.ศ. 1833 แม้แต่อักษรเขมรโบราณเองก็เป็นการพัฒนาต่อเนื่องมาจากอักษรปัลลวะจากแถบอินเดียใต้ อย่างไรก็ดี ระบบการเขียนอื่น ๆ บริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งเขมร ลาว และพม่าเองก็มีต้นกำเนิดจากอักษรปัลลวะเดียวกันนี้ ในช่วงเวลาหนึ่งของประวัติศาสตร์ตัวอักษรเหล่านี้จึงมีความคล้ายคลึงกันมาก ก่อนที่จะพัฒนาต่อไปกลายเป็นลักษณะเฉพาะของตนเอง

บางอักษรที่มีใช้ในภาษาไทยปัจจุบันแต่ไม่ปรากฏในอักษรเขมรโบราณ เช่น ฃ ฅ ซ ฏ ต ป ฝ และ ฟ ตัวอักษรเหล่านี้ล้วนแทนเสียงที่แต่เดิมมีในภาษาไทย เราจึงมีการประดิษฐ์ตัวอักษรเพิ่มขึ้นมาเพื่อแทนเสียงเหล่านั้น ถึงแม้จะไม่มีในอักษรเขมรโบราณแต่เดิมก็ตาม

อีกทั้งยังมีกรณีที่เรานำตัวอักษรเขมรโบราณมาใช้แทนเสียงของเราเอง เช่น ด ที่แท้จริงออกเสียงเหมือน ต แต่เรากลับนำมาใช้แทนเสียงที่คล้ายกับ ด ในสมัยนั้น จึงทำให้เราไม่มีตัวอักษรใช้แทนเสียง ต ทำให้เราต้องดัดแปลงตัวอักษร ด ด้วยการทุบหัวให้เป็น ต นั่นเอง อย่างไรก็ดี หากพิจารณาเสียงในปัจจุบันของตัวอักษรจำนวนหนึ่งจะพบว่ามีเสียงที่เหมือนกัน เช่น ตัวอักษร ข ฃ ค ฅ และ ฆ ล้วนออกเสียง /kh/ ด้วยกันทั้งสิ้น เนื่องจากในอดีตเสียงเหล่านี้เคยออกเสียงแตกต่างกันในบางแง่มุม เช่น ความก้อง-ไม่ก้อง เหมือน g กับ k ในภาษาอังกฤษ

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันความแตกต่างเหล่านั้นล้วนเลือนหายไป และการออกเสียงที่คล้ายกันมาเรื่อย ๆ พอนานเข้าก็กลายเป็นเสียงเดียวกัน ทิ้งไว้เพียงร่อยรองในระบบภาษาก็แต่ตัวอักษรเอาไว้เป็นของดูต่างหน้า จะเห็นได้ว่า คนไทยสร้างตัวอักษรเพิ่มเพื่อรองรับเสียงที่ในภาษาไทยแต่ไม่พบในเขมรโบราณ แต่ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว ตัวอักษรบางตัว เช่น ศ และ ษ ก็ได้สะท้อนระบบเสียงของภาษาสันสกฤต อันแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของสันสกฤตในภาษาไทยตามที่ปรากฏเห็นเป็นคำยืมในปัจจุบัน อย่างที่เราเรียน ๆ กันในวิชาภาษาไทยในโรงเรียน
มรดกที่สืบทอดร่วมกันนี้แสดงให้เห็นว่าระบบการเขียนนั้นไม่ใช่เพียงสัญลักษณ์ของอัตลักษณ์ประจำชาติที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้เท่านั้น แต่ยังเป็นนวัตกรรมทางวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงผ่านการติดต่อและการแลกเปลี่ยนระหว่างสังคม
คำ(ยืม)จีน แขก และอื่น ๆ
องค์ประกอบต่อมาที่ส่งเสริมให้ทำให้ภาษาไทยมีความเป็นไทยมากขึ้น คือ “คำไทย” ก่อนจะไปรู้จักคำ “ไทย” ลองให้ผู้อ่านพิจารณาดูว่าคำใดต่อไปนี้ไม่เป็นคำไทยแท้
น้ำ ลูก แขน กรรม สอง
สำหรับคนไทยที่เรียนมาในภาษาไทยในโรงเรียนไทยตั้งแต่เด็ก แค่กวาดสายตาก็คงจะทายได้ว่าคำว่าคำใดไม่ใช่คำไทย เพราครูที่โรงเรียนก็คงเคยสอนให้สังเกตและบอกลักษณะของคำต่างประเทศเพื่อเอาไปใช้ในห้องสอบ ส่วนคนที่ยังอาจจะหลงลืมไป คำตอบที่ถูกต้องคือคำว่า “กรรม” เพราะ คำใดที่มี ร-หัน ก็มักเป็นคำสันสกฤตนั่นเอง แต่ถ้าบอกว่าไม่มีคำใดเลยที่เป็นคำไทยแท้ ๆ ผู้อ่านจะเชื่อหรือไม่
ทั้งนี้เพราะในหนังสือเรียนภาษาไทยที่เด็กนักเรียนไทยใช้เรียนมักอธิบายลักษณะของคำไทยเอาไว้ว่า คำภาษาไทยแท้มักเป็นคำพยางค์เดียวโดด สะกดตรงตามมาตรา และไม่นิยมคำควบกล้ำ ซึ่งมักแยกออกจากกันได้อย่างเด่นชัดจากคำยืมภาษาอื่นที่มีแบบแผนชัดเจน อย่างใน ภาษาบาลี-สันสกฤตที่มีพยัญชนะวรรค เช่นในคำว่า จันทร์ ศาสตร์ หรือภาษาจีนก็ให้ดูจากเสียง เช่น ก๋วยเตี๋ยว เก้าอี้ ดังนั้น ถ้าหยุดเพียงเท่านี้ คำว่า น้ำ ลูก แขน และสอง ก็คงเป็นคำไทยจริง ๆ เพราะก็ดูเข้าตามลักษณะคำไทยข้างต้น อย่างไรก็ดี การแบ่งแยกในรูปแบบนี้เป็นการมองข้ามประวัติศาสตร์อันยาวนานของการสัมผัสทางภาษาที่ได้หล่อหลอมคำศัพท์ภาษาไทยมาหลายพันปี

จากการพัฒนาของตัวอักษรจะเห็นได้ว่า ภาษาไทยมีการยืมแม้กระทั่งเสียงจากภาษาบาลี-สันสกฤตเข้ามาเป็นตัวอักษรด้วย แสดงให้เห็นว่าภาษาบาลี-สันสกฤตมีอิทธิพลกับภาษาไทยค่อนข้างมาก ผ่านศาสนา ประเพณี และวัฒนธรรม ซึ่งในปัจจุบันจะพบได้ว่า คำศัพท์จำนวนมากในภาษาไทย โดยเฉพาะในวงศัพท์เฉพาะจะเป็นคำศัพท์ทียืมมาจากภาษาบาลี-สันสกฤต อาทิ เกี่ยวกับศาสนา เช่น บุญ บาป กรรม ทุกข์ วิทยาการ เช่น วิชา บัญชี แพทย์ และการเมืองการปกครอง เช่น รัฐ ประเทศ เป็นต้น หรือแม้แต่คำว่า “ภาษา” ในภาษาไทยเอง ก็เป็นคำยืมจากภาษาบาลี-สันสกฤต ซึ่งเราใช้คำเหล่านี้ในชีวิตประจำวันจนเป็นปกติ เราอาจไม่ได้ตระหนักด้วยซ้ำว่าเป็นคำยืมจากภาษาต่างประเทศ
แต่หากลงไปพิจารณาในรายละเอียดจริง ๆ เราอาจต้องมองภาษาไทยในฐานะภาษาหนึ่งในกลุ่มภาษาไทตะวันตกเฉียงใต้ภายใต่ร่มตระกูลภาษาขร้า-ไท นักวิชาการเช่น Pittayaporn (2009) ได้เปรียบเทียบภาษาในกลุ่มแล้วสืบสร้าง (reconstruct) โดยการหารูปแบบและลักษณะทางเสียงร่วมกันของภาษาในกลุ่ม กลายเป็นภาษาไทตะวันตกเฉียงใต้ดั้งเดิม หรือ Proto-Southwestern Tai ที่เป็นตัวแทนของกลุ่มภาษานี้

ภาษาดั้งเดิมนี้ทำให้เห็นร่องรอยของการยืมคำเข้ามาในภาษาไทยตั้งแต่สมัยที่คนในกลุ่มภาษานี้ยังใช้ภาษาเดียวกันอยู่ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนอาจยกตัวอย่างคำที่คนคิดว่าเป็นคำไทยแท้ ทั้งนี้ การที่เราจะสืบสร้างคำในภาษาดั้งเดิมต้องพิจารณาจากลักษณะร่วมของภาษาในตระกูลและวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงทางเสียงที่เกี่ยวข้อง เช่น คำว่า แขน ในภาษาต่าง ๆ ต่อไปนี้
ภาษา | คำว่า “แขน” | การออกเสียง |
---|---|---|
ไทย | แขน | kʰɛːn˩˩˦ |
ลาว | ແຂນ | khǣn |
ลื้อ | ᦶᦃᧃ | ẋaen |
ไทดำ | ꪵꪄꪙ | khěn |
ไทพ่าเก | ၵိၺ် | khiñ |
ไทอาหม | 𑜁𑜢𑜐𑜫* | *khiñ |
จะเห็นว่าคำนี้ในภาษาต่าง ๆ เสียงที่ค่อนข้างจะคล้ายกันและเป็นไปในทางเดียวกันถึงแม้ว่าจะไม่ได้เหมือนกัน 100% ดังนี้ ในภาษาไทดั้งเดิมสืบสร้างตำนี้ไว้เป็น *qeːnᴬ
และเมื่อเปรียบเทียบตามเวลาในประวัติศาสตร์ ประกอบกับการเปรียบเทียบเสียงของคำในภาษาไทดั้งเดิม พบว่าคำในภาษาไทดั้งเดิมเข้ากับเสียงของคำว่า 肩 jiān ที่เดิมแปลว่าแขนเช่นเดียวกัน และนอกจากคำนี้ยังพบว่ามีการยืมคำจากภาษาจีนอื่น ๆ ตามยุคสมัยต่าง ๆ ตลอดประวัติศาสตร์ที่อาจย้อนเก่าแก่ที่สุดตั้งแต่ภาษาจีนในสมัยก่อนฮั่นตอนปลาย (Pre-Later Han)
คำศัพท์พื้นฐานบางคำที่อาจดูเหมือนเป็นคำภาษาไทยนั้นมีหลักฐานว่ามีต้นกำเนิดมาจากภาษาจีนโบราณ ตัวอย่างเช่น คำที่เกี่ยวข้องกับส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น แขน ปอด คอ แข้ง คำศัพท์ที่เกี่ยวกับธรรมชาติ เช่น หมอก ห่าน เป็ด ทราย หรือที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีนวัตกรรมสมัยนั้นเช่น เข็ม เหล็ก หรือแม้แต่ตัวเลขเองอย่าง สอง สาม ห้า หก คำศัพท์ต่าง ๆ เหล่านี้ในภาษาไทยนั้นสามารถสืบย้อนไปยังแหล่งที่มาของจีนได้
นอกจากนี้แล้ว ภาษาไทยยังเคยยืมลักษณะอื่นนอกจากคำศัพท์มาจากภาษาจีนอีกด้วย เช่น ลักษณะนาม และการเรียงจำนวน-ลักษณะนาม ยิ่งไปกว่านั้น หากเปรียบเทียบคำยืมเหล่านี้ในภาษาไทดั้งเดิม (Proto-Tai) เข้ากับในภาษากำ-สุยดั้งเดิม (Proto Kam-Sui) และภาษาไหลดั้งเดิม (Proto-Hlai) ซึ่งเป็นภาษาในตระกูลเดียวกัน จะพบว่ามีภาษาไทดั้งเดิมมีคำยืมจากภาษาจีนมากที่สุด ซึ่งคำยืมเหล่านั้นความคล้ายคลึงกันบ้าง หรือแตกต่างกันเพราะยืมเข้ามาจากภาษาจีนในต่างสมัยกัน ซึ่งสามารถบ่งชี้ได้ว่าภาษาไทดั้งเดิมได้แยกออกจากภาษาต่าง ๆ ข้างต้นตั้งแต่ก่อนจะยืมคำศัพท์จากภาษาจีนแล้ว และเป็นภาษาที่ได้รับอิทธิพลจีนมากที่สุดผ่านการยืมลักษณะต่าง ๆ
และคำมากมายเหล่านี้บ่งชี้ว่า ภาษาไทดั้งเดิมมีการติดต่อกับภาษาจีนอย่างต่อเนื่องอย่างน้อยจนถึงยุคราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618-907) สิ่งที่สำคัญเป็นพิเศษคือคำศัพท์หลายคำที่ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของ “ภาษาไทย” ในปัจจุบันนั้นแท้จริงแล้วยืมมาจากภาษาจีนเมื่อนานมาแล้วจนกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของภาษาไทดั้งเดิมก่อนที่จะมีภาษาไทที่แตกต่างกันเกิดขึ้น
แม้จะมีการยืมลักษณะต่าง ๆ ภาษาเหล่านี้มาอย่างมากมาย แต่ภาษาไทยและภาษาจีนก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันทางเชื้อสาย และยังจัดอยู่ในตระกูลภาษาที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง นั่นคือ ภาษาไทยจัดอยู่ในภาษาตระกูลขร้า-ไท และภาษาจีนจัดอยู่ในตระกูลจีน-ทิเบต (Sino-Tibetan) ความคล้ายคลึงกันระหว่างภาษาไทยและภาษาจีนนี้เกิดจากการสัมผัสภาษาอย่างยาวนานผ่านการโต้ตอบแลกเปลี่ยนระหว่างผู้พูดสองภาษานี้ มากกว่าจะเกิดจากต้นกำเนิดเดียวกัน ความแตกต่างระหว่างการสัมผัสภาษาจากการติดต่อสื่อสารหรือแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และภาษาที่มีความเกี่ยวข้องกันทางเชื้อสายจากต้นกำเนิดเดียวกันนี้ ชี้ให้เห็นว่าภาษาต่าง ๆ สามารถส่งอิทธิพลต่อกันได้อย่างมากแม้จะไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากภาษาเดียวกันเลยก็ตาม โดยภาษาสองภาษาจะถือว่าความเกี่ยวข้องกันทางเชื้อสาย
เมื่อภาษาเหล่านั้นพัฒนามาจากภาษาบรรพบุรุษร่วมกัน โดยสามารถสังเกตและพิจารณาได้จากคำที่ปรากฏร่วมกันในภาษาเหล่านั้น (cognate) ซึ่งจะสามารเปรียบเทียบให้เห็นได้ถึงชุดของเสียงที่มีร่วมกันในภาษาเหล่านั้น หรือ เสียงปฏิภาค (sound correspondence) เช่นคำว่า “ม้า” ไม่ว่าจะในภาษาไทยกลาง ไทถิ่นใต้ ภาษาไทดำ ภาษาลาว หรือภาษาแสก ก็ล้วนออกเสียงคล้ายกันว่า “ม้า” ซึ่งลักษณะของสียงที่มีร่วมกันในรูปแบบนี้เกิดกับคำต่าง ๆ มากมายอย่างเป็นระบบ นักภาษาศาสตร์จึงสามารถจัดให้ภาษาเหล่านี้มีความเกี่ยวข้องกันทางเชื้อสาย
ในทางตรงกันข้าม การสัมผัสทางภาษาหมายถึงอิทธิพลที่ภาษาต่าง ๆ มีต่อกันผ่านการโต้ตอบทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และการเมือง คำศัพท์ภาษาจีนจำนวนมากในภาษาไทยนี้เองก็เกิดจากการติดต่อกันของชุมชนชาวไทยและชาวจีนที่มีปฏิสัมพันธ์กัน ผ่านการค้า การอพยพ และการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมมาเป็นเวลาหลายพันปีในภาคใต้ของจีนกับในบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ยิ่งไปกว่านั้น ภาษาไทยยังมีความคล้ายคลึงกับภาษาในตระกูลออสโตรนีเซียน (Austronesian) ซึ่งครอบคลุมภาษาในพื้นที่บริเวณตั้งแต่มาดากัสการ์จนถึงบริเวณหมู่เกาะอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก เช่น ภาษาตากาล็อก ภาษามาเลย์ ภาษาชวา และภาษาฮาวาย เป็นต้น หากพิจารณาคำศัพท์หลายคำซึ่งพบในทุกสาขาของภาษาตระกูลขร้า-ไทในภาษาขร้า-ไทดั้งเดิม จากงานวิจัยของ Ostapirat (2013) เช่น ตา ขา ลูก ฟัน น้ำ กู และตาย จะพบว่ามีความคล้ายคลึงกับภาษาออสโตรนีเซียนดั้งเดิมและสามารถหาเสียงปฏิภาคได้ เกิดขึ้นเป็นสมมติฐานที่ว่าภาษาตระกูลขร้า-ไทอาจมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ทางเชื้อสายกับภาษาตระกูลออสโตรนีเซียนด้วยก็เป็นได้
ของไท-ไทย
ภาษาที่เราเรียกว่า “ภาษาไทย” ในปัจจุบันก็เป็นเพียงหนึ่งในสมาชิกตระกูลภาษาขร้า-ไท ซึ่งครอบคลุมภาษาต่าง ๆ ประมาณ 91 ภาษา ที่มีผู้พูดประมาณ 82 ล้านคน กระจายตัวอยู่ทั่วตั้งแต่มณฑลหูหนานของประเทศจีนในทางเหนือ จนถึงประเทศมาเลเซียในทางใต้ และเกาะไหหลำในทางตะวันออก ถึงรัฐอัสสัมของประเทศอินเดียในทางตะวันตก ซึ่งประกอบไปด้วย 5 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มขร้า กลุ่มกำ-สุย กลุ่มไหล กลุ่มเบ และกลุ่มไท ภาษาไทยมาตรฐานจัดอยู่ในกลุ่มไท และกลุ่มย่อยไทตะวันตกเฉียงใต้ ร่วมกับภาษาลื้อ ภาษาลาว ภาษาไทใหญ่ เป็นต้น ซึ่งเป็นเพียงกิ่งเล็ก ๆ กิ่งหนึ่งของต้นไม้ทางภาษาที่สลับซับซ้อนนี้ แม้ว่าภาษาไทยมาตรฐานจะกลายมาเป็นภาษาที่มีอิทธิพลทางการเมืองเนื่องมาจากกระบวนการสร้างชาติ แต่ในทางภาษา ภาษาไทยก็ถือว่าเท่าเทียมกับภาษาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
การระบุว่าภาษาไทยมาตรฐานเป็นเครื่องมือแสดงอัตลักษณ์ของ “ความเป็นไทย” นั้นเป็นปรากฏการณ์ในสมัยใหม่ โดยเชื่อมโยงกับการพัฒนาแนวคิดรัฐชาติในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ก่อนที่จะมีการกำหนดขอบเขตของชาติจากลัทธิชาตินิยมสมัยใหม่ ชุมชนทางภาษาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความเลื่อนไหลมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และกระจายตัวออกไปจากสิ่งที่จะถูกเรียกว่าพรมแดนของชาติในเวลาต่อมา การกำหนดมาตรฐานและส่งเสริมให้ภาษาไทยกลางเป็นภาษาประจำชาติจึงมีวัตถุประสงค์ทางการเมือง ช่วยให้ประชากรหลากหลายกลุ่มมีเอกภาพร่วมกัน
แล้วอะไรคือ “ไทย” ที่จริงแท้?
มาถึงจุดนี้ ผู้อ่านคงพอเห็นภาพกว้างของวิวัฒนการภาษาไทยในฐานะหนึ่งในภาษาตระกูลขร้า-ไทที่มีเส้นทางอันยาวนานและการเปลี่ยนแปลงอยู่อย่างต่อเนื่องกระทั่งปัจจุบันนี้ กลับมาสู่ข้อคำถามหลักที่ผู้อ่านก็คงต้องการคำตอบว่าสิ่งใดคือไทยแท้ ๆ
อย่างไรก็ดี บทความนี้อาจไม่สามารถให้คำตอบที่แน่ชัดได้ เพราะความหมายของ “ไทย” สำหรับแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน บางคนอาจมองว่าไทยคือสิ่งที่อยู่ในเขตของรัฐชาติไทยในปัจจุบัน บางคนอาจมองว่าความเป็นไทยหมายถึงความเป็นเอกลักษณ์ ความเป็นชาติ ความเป็นวัฒนธรรมที่สืบทอดมาตามขนบ บางคนอาจจะมองว่าเป็นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงไม่ถึงร้อยปีที่ผ่านมา เพราะฉะนั้น “ไทยแท้” สำหรับแต่ละคนก็จะมีมุมมองที่แตกต่างกันไป
ในด้านภาษา การที่ภาษามีความทับซ้อนกันจึงสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลง ความพลวัต และการเคลื่อนตัวไปข้างหน้าของสังคมที่ใช้ภาษาเหล่านั้น การจะหาชนชาติหรือกลุ่มคนที่มี “เลือดบริสุทธิ์” หรือ “ไทยแท้” ก็คงเป็นเรื่องยากเกินไป เนื่องจากไม่ว่าจะเป็นภาษา หรือวัฒนธรรม ก็ล้วนแต่ได้รับอิทธิพลจากการแลกเปลี่ยนและการผสมผสานมาตลอด การที่เราเรียกตัวเองว่า “ไทย” จริง ๆ ก็อาจหมายถึงการที่บรรพบุรุษของเราอาศัยอยู่ในแผ่นดินนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนที่อยู่มาก่อนหรือคนที่เข้ามาใหม่ เมื่อย้อนกลับไปในต้นตระกูล เราก็คงพบว่าไม่มียุคใดที่คนไทยจะเป็น “ไทยแท้” แบบบริสุทธิ์จริง ๆ
การที่เรา “รู้สึก” ว่าเป็น “ไทย” อาจจะไม่เพียงพอ หากพิจารณาจากหลายมุมมอง และในแง่นี้เองที่ทำให้เรามองเห็นว่าไม่อาจจะมีภาษาหรือชาติใดที่บริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์ไม่ถูกเจือปนจากสิ่งอื่นๆ ดังนั้น การคิดที่จะให้คนไทยใช้ภาษาไทยแบบ “แท้ๆ” โดยไม่มีการผสมผสานกับภาษาต่างชาติ ก็คือการคิดที่ผิดธรรมชาติ
ท้ายที่สุด การค้นหาความเที่ยงแท้ หรือ “สิ่งที่บริสุทธิ์” ในแง่ของชาติหรือภาษาอาจเป็นเหมือนการงมเข็มในมหาสมุทร แต่ถ้าเราโอบรับว่า ภาษาไทย หรือ “ความเป็นไทย” นั้นไม่ได้หยุดนิ่ง หรือเป็นไปตามที่เรียนรู้ในตำรา เราก็จะเห็นมิติของความหลากหลาย ความงดงาม และการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คน ภาษา และความคิด ที่จะช่วยให้เราเข้าใจรากฐานสำคัญของการสร้างสังคมและวัฒนธรรมที่ประกอบขึ้นเป็น “ไทย” ที่สมบูรณ์